[2.25] และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน คราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลาย จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป

[2.30] จงรำลึกถึงเวลา ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่า ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่า พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เรากล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติ ตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงตอบว่า แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้

[2.54] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าว แก่ประชาชนของเขาว่า ประชาชนของฉันเอ๋ย แท้จริง พวกท่าน ได้กระทำผิดต่อตัวพวกท่านเอง ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา ดังนั้น พวกท่าน ควรจะหันไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน เพื่อขอลุแก่โทษ และจงฆ่าผู้กระทำผิดในหมู่พวกท่าน นี่เป็นการดีที่สุด สำหรับพวกท่าน ในสายตาของพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน แล้วพระองค์ ได้ทรงนิรโทษสูเจ้า เพราะพระองค์ คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

[2.60] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซา ได้ขอน้ำดื่มเพื่อประชาชนของเขา แล้วเราได้กล่าวว่า จงเอาไม้เท้าของเจ้า ฟาดหินก้อนนั้น ซึ่งทำให้มีน้ำพุพุ่งออกมา จากมันสิบสองตา ดังนั้น ผู้คนจากทุกเผ่า จึงได้รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกเขา (แล้วพวกเขาได้ถูกสั่งว่า) จงกิน และจงดื่ม จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้ และจงอย่าเป็นผู้ก่อการเสียหายขึ้นบนหน้าแผ่นดิน

[2.61] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า มูซาเอ๋ย เรา ไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอ ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้นำผลผลิตที่งอกเงย ออกจากพื้นดิน คือ พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม มาให้แก่เราเหน่อย มูซาได้กล่าวตอบว่า พวกท่านต้องการเปลี่ยน เอาสิ่งที่เลวกว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น จงไปอยู่ในเมือง และพวกท่าน จะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น หลังจากนั้น พวกเขาตกต่ำ จนต้องถูกความอัปยศ และความขัดสนฟาดกระหน่ำ และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ นั่นเป็นเพราะ เขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่านบีบางคน โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาละเมิด

[2.85] แต่หลังจากนั้น ทั้ง ๆ ที่มีสัญญาแล้ว สูเจ้าก็ยังฆ่าพวกพ้องของสูเจ้าและขับไล่พวกของสูเจ้าเองออกจากบ้านของสูเจ้า และหนุนหลังพวกเขาในการบาปและการเป็นศัตรู และเมื่อพวกเขามาหาสูเจ้าในฐานะเชลย สูเจ้าก็ไถ่พวกเขาทั้ง ๆ ที่การขับไล่พวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้า แล้วสูเจ้าศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์ และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ ดังนั้น ไม่มีการตอบแทนอันใดแก่ผู้กระทำเช่นนั้นนอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้ และในวันฟื้นขึ้น พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮ์ มิใช่ผู้ทรงเฉยเมยต่อที่สูเจ้ากระทำ

[2.87] และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซาและหลังจากเขาแล้ว เราได้ให้มีรอซูลสืบต่อเนื่องกันมา และเราได้ส่งอีซาลูกของมัรยัมมาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้งและเราได้สนับเขาด้วยด้วยวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วมันเป็นอย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อมีรอซูลคนใดมายังสูเจ้าพร้อมกับสิ่งที่จิตใจของสูเจ้าไม่ชอบ สูเจ้าก็กระด้างกระเดื่องต่อเขา กล่าวเท็จต่อเขาและฆ่าเขา

[2.90] ช่างชั่วช้าแท้ ๆ ที่พวกเขาหลอกลวงตัวของพวกเขาเอง พวกเขาปฏิเสธทางนำที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเพียงเพราะพวกเขาริษยาว่าทำไมอัลลอฮ์ถึงได้ประทานความโปรดปรานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงได้ก่อให้เกิดความกริ้วแล้วกริ้วอีก และสำหรับพวกปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันแสนสาหัส

[2.91] และเมื่อได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า จงศรัทธาตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาแต่เฉพาะในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่เรา และพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นทั้ง ๆ ที่มันเป็นสัจธรรมและยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ดังนั้น จงถามพวกเขาว่า ถ้าหากพวกท่านศรัทธาอย่างจริงใจ ทำไมพวกท่านถึงได้ฆ่านบีของอัลลอฮ์ (ที่ถูกส่งมายังพวกท่าน จากในหมู่ของพวกท่านเอง)

[2.93] และจงนึกถึงสัญญาที่เราได้ทำกับสูเจ้าในขณะที่เราได้ยกภูเขาฏูรเหนือสูเจ้า เราได้สั่งว่า จงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้าและจงฟังคำบัญชาของเรา พวกเขากล่าวว่า เราได้ยินแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง พวกเขาฝักใฝ่ไปในทางปฏิเสธจนในหัวใจของพวกเขานั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยลูกวัว จงบอกพวกเขาเถิด (มุฮัมมัด) ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาจริง ศรัทธาของพวกท่านก็เป็นศรัทธา ที่บัญชาพวกท่านให้ทำสิ่งชั่วช้าเช่นนั้น

[2.102] และ (แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน) พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม (วิทยากล) ที่พวกวายร้ายได้อ้างอย่างผิด ๆ ว่ามันมาจาก (ความยิ่งใหญ่แห่ง) อาณาจักรสุลัยมาน ทั้งที่ความจริงแล้ว สุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธ แต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธ พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูตและมารูต มลาอิกะฮ์สองคนที่บาบิล (บาบิโลน) เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะฮ์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด เขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่า เราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น พวกท่านจงอย่าปฏิเสธ แต่ถึงแม้จะเตือนแล้ว คนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะฮ์ทั้งสองซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างสามี และคู่ครองของเขา ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ์ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาและไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลย ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาไป เพื่อมัน ถ้าหากว่าพวกเขารู้

[2.109] ส่วนมากของชาวคัมภีร์ ต้องการที่จะหันสูเจ้ากลับมายังการปฏิเสธ หลังจากการศรัทธาของสูเจ้า ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขา หลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้ง แก่พวกเขาแล้ว ดังนั้น สูเจ้าจงแสดงความอดทนและให้อภัยแก่พวกเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะได้มีพระบัญชาลงมา (ดังนั้นขอให้แน่ใจได้ว่า) อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

[2.113] และพวกยิวกล่าวว่าพวกคริสเตียนไม่มีสิ่งใด (แห่งสัจธรรม) และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่าพวกยิวก็ไม่มีสิ่งใด ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็อ่านคัมภีร์เล่มเดียวกันนั้น และพวกที่ไม่มีความรู้เรื่องคัมภีร์ก็ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกันนั้น ดังนั้น อัลลอฮ์จะตัดสินเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

[2.120] และชาวยิวและชาวคริสต์นั้น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริง คำแนะนำของอัลลอฮ์ เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้า แล้ว ก็ย่ามไม่มีผุ้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใดๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

[2.125] และจงรำลึกถึงขณะที่เรา ได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์ และเป็นที่ปลอดภัยและพวกเจ้าจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่ละหมาดเภิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม และ อิสมาอีลว่า เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้า เพื่อบรรดาผู้ทำการเฏาะวาป และบรรดาผู้ทำการ เอียติกาฟ และบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด

[2.126] และจงรำลึกถึงยณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงให้ที่นี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพ แก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือ ผุ้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง

[2.133] หรือว่าพวกเจ้าอยู่ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอ์กูบ ขณะที่เขากล่าว แก่ลูกๆ ของเขาว่า พวกเจ้าจะเคารพสักการะอะไร หลังจากฉัน? พวกเขากล่าวว่า พวกเราจะเคารพสักการะพระเจ้าของทาน และพระเจ้าแห่งบรรดาบิดาของท่าน คือ อิบรอฮีม อิสมาอีล และ อิสหาก แต่เพียงองค์เดียว และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ ต่อพระองค์เท่านั้น

[2.136] จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า เราศรัทธาในอัลลอฮ์และทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เรา และที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสหาก ยะอ์กู๊บและลูกหลานของเขา และที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา อีซา และที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลายจากพระผู้อภิบาลของเขาทั้งหลาย เรามิได้จำแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์

[2.140] หรือว่าพวกท่านจะกล่าวว่า แท้จริง อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอ์กูบ และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น เป็นยิว หรือเป็นคริสต์ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านรู้ดี ยิ่งกว่าอัลลอฮ์กระนั้นหรือ หรือ อัลลอฮ ? แล้วผู้ใด จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮ์ ซึ่งมาอยู่ที่เขา และ อัลลอฮ์นั้น จะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่

[2.143] และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซู้ล ก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า ใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซู้ล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท่าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่า อัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไป ก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา แก่มนุษย์เสมอ

[2.144] แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราจะให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลหะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผุ้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่า มัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และ อัลลอฮ์นั้น ไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

[2.145] และแน่นอน ถ้าหากเจ้า ได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดง แก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัติของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้า หากเจ้าได้ปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนทันใดนั้น เจ้าก็อยู่ในหมู่ ผู้อธรรม

[2.150] และจากที่ใดก็ตามที่เจ้าออกไป ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัลมัสยิดิ้ลหะรอม และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางนั้น เพื่อว่าจะได้ไม่เป็นข้ออ้างใดๆ แก่หมู่ชนที่แย้งพวกเจ้าได้ นอกจากบรรดาผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวข้าเถิด และเพื่อที่ข้าจะได้ให้ความกรุณาของข้าครบถ้วน แก่พวกเจ้า และเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง

[2.164] แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน และเรือที่วิ่งอยู่ในทะเลพร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์ แก่มนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้นด้วย น้ำนั้น หลังจากที่มันตายไปแล้ว และได้ทรงให้สัตว์ แต่ละชนิด แพร่สะพัดไปในแผ่นดิน และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ (แก่โลก) ผันแปรไประหว่างฟากฟ้า และแผ่นดินนั้น แน่นอน ล้วนเป็นสัญญาณนานาประการ แก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา

[2.165] และในหมุ่มนุษย์นั้น มีผุ้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจาออัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้น เป็นผู้ที่รักอัลลอฮมากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า) แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง

[2.174] แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมา และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่าน้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องเขาพวกเขา นอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้ พวกเขาบริสุทธิ์ แลพวกเขาจะได้รับการ ลงโทษอันเจ็บแสบ

[2.177] หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้า ของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตก แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และ วันปรโลก และศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์ ต่อบรรดา คัมภีร์ และนบีทั้งหลาย และบริจาคทรัพย์ ทั้งๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้น แก่บรรดาญาติที่สนิท และบรรดาเด็กกำพร้า และแก่บรรดาผู้ยากจน และผู้ที่อยู่ในการเดินทาง และบรรดาผู้ที่มาขา และบริจาคในการไถ่ทาส และเขาได้ดำรงไว้ซึ่ง การละหมาด และการชำระซะกาต และ (คุณธรรม นั้น) คือบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกเขาโดย ครบถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้ และบรรดาผู้ที่ อดทนในความทุกข็ยาก และในความเดือดร้อน และขณะต่อสู้ในสมรภูมิ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ พูดจริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง

[2.178] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การประหารฆาตกร ให้ตายตามในกรณีที่มีผู้ถูกฆ่าตายนั้นได้ถูกกำหนด แก่พวกเจ้าแล้ว คือชายอิสระต่อชายอิสระ และ ทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่สิ่งหนี่ง จากพี่น้องของเขาถูกอภัยให้แก่เขาแล้ว ก็ให้ปฏิบัติ ไปตามนั้นโดยชอบ และให้ชำระแก่เขาโดยดี นั้นคือ การผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเจ้า และคือ การเอ็นดูเมตตาด้วย แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

[2.184] (คือถูกกำหนดให้ถือ) ในบรรดาวันที่ถูก นับไว้ แล้วผู้ใดในพวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดิน ทางก็ให้ถือใช้ในวันอื่น และหน้าที่ของบรรดาผู้ที่ ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่าง (โดยที่เขาได้งดเว้น การถือ) นั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหาร (มื้อหนึ่ง) แก่คนมิสกีนคนหนึ่ง (ต่อการงดเว้น จากการถือหนึ่งวัน) แต่ผู้ใดกระทำความดีโดยสมัครใจ มันก็เป็นความดีแก่เขา และการที่พวกเจ้าจะ ถือศีลอดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้

[2.185] เดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่ อัลกุรอาน ได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับ มนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อ แนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่าง ความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้า เข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วย หรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวก แก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้ครบถ้วน ซึ่งจำนวนวัน (ของเดือนรอมฏอน) และเพื่อพวกเจ้าจะได้ให้ความ เกรียงไกรแด่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ ทรงแนะนำแก่พวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะขอบคุณ

[2.187] ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเจ้า ในค่ำคืนของการถือศีลอด นางทั้งหลายนั้นคือเครื่องนุ่มห่มของพวกเจ้า และพวกเจ้าก็คือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง อัลลอฮ์ทรงรู้ว่า พวกเจ้านั้นเคยทุจริตต่อตัวเอง แล้วพระองค์ก็ทรงยกโทษให้แก่พวกเจ้า และอภัยให้แก่พวกเจ้าแล้ว บัดนี้พวกเจ้าจงสมสู่กับพวกนางได้ และแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกเจ้าเถิด และจงกิน และดื่ม จนกระทั่งเส้นขาว จะประจักษ์แก่พวกเจ้าจากเส้นดำ เนื่องจากแสงรุ่งอรุณ แล้วพวกเจ้าจงให้การถือศีลอดครบเต็ม จนถึงพลบค่ำ และพวกเจ้าจงอย่าสมสู่กับพวกนาง ขณะที่พวกเจ้าเอียะติก๊าฟอยู่ในมัศยิด นั่นคือบรรดาขอบเขตของอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้ขอบเขตนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการ ของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง

[2.189] เขาเหล่านั้นจะถามเจ้า เกี่ยวกับเดือน แรกขึ้น จงกล่าวเถิด มันคือกำหนดเวลาต่างๆ สำหรับมนุษย์ และสำหรับประกอบพิธีฮัจญ์ และหาใช่เป็นคุณธรรมไม่ ในการที่พวกเจ้าเข้าบ้าน ทางหลังบ้าน แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ยำเกรง ต่างหาก และพวกเจ้าจงเข้าบ้านทางประตูบ้าน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้า จะได้รับความสำเร็จ

[2.191] และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใด ก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขา ออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และ การก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลหะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวก เจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้วก็จง ประหัตประหารพวกเขา เสีย เช่นนั้นแหละคือการ ตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา

[2.196] และพวกเจ้าจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำ ฮัจญ์ และการทำอุมเราะฮ์เพื่ออัลลอฮ์เถิด แล้ว ถ้าพวกเจ้าถูกสกัดกั้น ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ ง่าย และจงอย่าโกนศีรษะของพวกเจ้าจนกว่า สัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ใดในหมู่พวก เจ้าป่วยลง หรือที่เขามีสิ่งก่อความเดือดร้อนจาก ศีรษะของเขา ก็ให้มีการชดเชย อันได้แก่การถือศีลอด หรือการทำทานหรือการเชือดสัตว์ ครั้น เมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ผู้ใดที่แสวงหาประโยชน์ จนกระทั่งถึงฮัจญ์ด้วยการทำอุมเราะฮ์แล้ว ก็ให้ เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หาไม่ได้ ก็ให้ถือ ศิลอดสามวันในหระหว่างการทำฮัจญ์ และอีกเจ็ด วันเมื่อพวกเจ้ากลับบ้าน นั้นคือครบสิบวัน ดังกล่าว นั้น สำหรับผู้ที่ครอบครัวของเขามิได้ประจำอยู่ที่ อัล-มัสยิดิลหะรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์ เถิด และถึงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผุ้ทรง ลงโทษที่รุนแรง

[2.197] (เวลา) การทำฮัจญ์นั้นมีหลายเดือนอัน เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ได้ให้การทำ ฮัจญ์จำเป็นแก่เขาในเดือนเหล่านั้น แล้ว ก็ต้อง ไม่มีการสมสู่ และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาท ใดๆ ใน (เวลา) การทำฮัจญ์ และความดีใดๆ ที่ พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮ์ทรงรู้ดี และพวกเจ้า จงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้น คือความยำเกรง และพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิด โอ้ ผู้มีปัญญาทั้งหลาย!

[2.198] ไม่มีโทษใดๆ แก่พวกเจ้า การที่พวก เจ้าจะแสวงหาความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดจาก พระเจ้าของพวกเจ้า ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้หลั่งไหล กันออกจากอะเราะฟาตแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึง อัลลอฮ์ ณ อัล-มัชอะริลหะรอม และจงกล่าว รำลึกถึงพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงแนะนำ พวกเจ้าไว้ และแท้จริงก่อนหน้านั้น พวกเจ้าอยู่ใน หมู่ผู้ที่หลงทาง

[2.213] มนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน ภายหลังอัลลอฮ์ได้ส่งบรรดานบีมาในฐานะผู้แจ้ง ข่าวดี และผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์ อันกอปรไปด้วยความจริงลงมากับพวกเขาด้วยเพื่อ ว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวก เขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่รับคัมภีร์นั้นมา หลังจากที่ บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขา แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงแนะนำแก่บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่ง ความจริงที่พวกเขาขัดแยังกันด้วยอนุมัติของพระ องค์ และอัลลอฮ์นั้นทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง

[2.214] หรือพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ โดยที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้า ยังมิได้มายังพวกเจ้าเลย ซึ่งบรรดาความลำบาก และความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และ พวกเขาได้รับความหวั่นไหว จนกระทั่งรอซูลและ บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งอยู่กับเขา กล่าวขึ้นว่า เมื่อไร เล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ฦ พึงรู้เถิดว่า แท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ใกล้อยู่แล้ว

[2.217] พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม ซึ่งการสู้รบในเดือนนั้น จงกล่าวเถิดว่า การสู้รบ ในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่โต และการขัดขวางให้ออก จากทางของอัลลอฮ์ และการปฏิเสธการศรัทธา ต่อพระองค์ และการกีดกัน อัลมัสยิดิ้ลหะรอม ตลอดจนการขับไล่ขาว อัลมัสยิดิ้ลหะรอมออกไปนั้น เป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์ และการฟิตนะฮ์ นั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า และพวกเขาจะยังคงต่อสู้พวกเจ้าต่อไป จนกว่าพวกเขาจะทำให้ พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของพวกเจ้า หากพวกเขาสามารถ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละ บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และ ปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขา จะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล

[2.219] พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับน้ำเมา และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า ในทั้งสองนั้นมีโทษมาก และมีคุณหลายอย่างแก่มนุษย์ แต่โทษของมันทั้งสองนั้น มากกว่าคุณของมัน และพวกเขาจะถามเจ้าว่า พวกเขาจะบริจาคสิ่งใด? จงกล่าวเถิดว่า สิ่งที่เหลือจากการใช้จ่าย ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงโองการทั้งหลายแก่พวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ

[2.220] ทั้งในโลกนี้และปรโลก และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับบรรดาเด็กกำพร้า จงกล่าวเถิดว่า การแก้ไขปรับปรุงใดๆ ให้แก่พวกเขานั้น เป็นสิ่งดียิ่ง และถ้าหากพวกเจ้าจะร่วมอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็คือ พี่น้องของพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้น ทรงรู้ดีถึงผู้ที่ก่อความเสียหาย จากผู้ที่ปรับปรุงแก้ไข และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนก็ทรง ให้พวกเจ้าลำบากไปแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาน

[2.221] และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก จนกว่านางจะศรัทธา และทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้น ดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านาง ได้ทำให้พกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงาน กับบรรดาชายมุชริก จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่า ชายมุชริก และแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรก และอัลลอฮ์ นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์ แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้

[2.222] และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับประจำเดือน จงกล่าวเถิดว่า มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกเจ้า จงห่างไกลหญิง ในขณะมีประจำเดือน และจงอย่าเข้าใกล้นาง จนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนาง ได้ชำระร่างกายสะอาดแล้ว ก็จงมาหานาง ตามที่อัลลอฮ์ทรงใช้พวกท่าน แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงชอบบรรดาผู้สำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัว และทรงชอบ บรรดาผู้ที่ทำตนให้สะอาด

[2.223] บรรดาหญิงของพวกเจ้านั้น คือแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้า จงมายังแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า ตามแต่พวกเจ้าประสงค์ และจงประกอบล่วงหน้า ไว้สำหรับตัวของพวกเจ้า และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่า แท้จริง พวกเจ้านั้น จะเป็นผู้พบกับพระองค์ และเจ้า จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิด

[2.228] และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าร้าง พวกนาง จะต้องรอคอยต้วของตนเองสามกุรูอฺ และไม่อนุมัติให้แก่พวกนาง ในการที่พวกนาง จะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้บังเกิดขึ้น ในมดลูกของพวกนาง หากพวกนางศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และบรรดาสามีของพวกนางนั้นเป็นผู้มีสิทธิกว่า ในการให้พวกนางกลับมาในกรณีดังกล่าว หากพวกเขาปรารถนาประนีประนอม และพวกนางนั้นจะได้รับ เช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกนาง จะต้องปฏิบัติโดยชอบธรรม และสำหรับบรรดาชายนั้น มีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาน

[2.229] การหย่านั้นมีสองครั้ง แล้วให้มีการยับยั้งไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็ให้ปล่อยไป พร้อมด้วยการทำความดี และไม่อนุญาติแก่พวกเจ้า ในการที่พวกเจ้า จะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง (มะฮัร) นอกจากทั้งสองเกรงว่า จะไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้เท่านั้น ถ้าหากพวกเจ้าเกรงว่าเขาทั้งสองจะไม่ดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์แล้วไซร้ ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทั้งสองในสิ่งที่นางใช้มันไถ่ตัวนาง เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮ์ พวกเจ้าจงอย่าละเมิดมัน และผู้ใดละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์แล้ว ชนเหล่านั้นแหละ คือผู้ที่อธรรมแก่ตัวเอง

[2.230] ถ้าหากเขาได้หย่านางอีก นางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขา หลังจากนั้น จนกว่าจะแต่งงานกับสามีอื่นจากเขา แล้วหากสามีนั้นหย่านาง ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่ทั้งสอง ที่จะคืนดีกันใหม่ หากเขาทั้งสองคิดว่า จะดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้ และนั่นแหละ คือขอบเขตของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมัน อย่างแจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ดี

[2.231] และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาหญิง แล้วพวกนางถึงกำหนดเวลา ของพวกนางแล้ว ก็จงยับยั้งนางไว้ โดยชอบธรรม หรือ ไม่ก็จงปล่อยนางไปโดยชอบธรรม และพวกเจ้า จงอย่ายับยั้งพวกนางไว้โดยมุ่งก่อความเดือดร้อน เพื่อพวกเจ้าจะได้ข่มเหงรังแก และผู้ใดกระทำเช่นนั้น แน่นอนเขาก็ข่มเหงตนเอง และจงอย่าถือเอาโองการของอัลลอฮ์ เป็นที่เย้ยหยัน และพึงระลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ ที่มีแก่พวกเจ้า และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้า อันได้แก่คัมภีร์ และบทบัญญัติ (ที่มีอยู่ในคัมภีร์นั้น) ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คัมภีร์นั้น แนะนำตักเตือนพวกเจ้า และพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง

[2.232] และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาหญิง แล้วนางเหล่านั้น ได้ถึงกำหนดเวลของพวกนางแล้ว ก็จงอย่าขัดขวางพวกนาง ในการที่พวกนาง จะแต่งกับบรรดาคู่ครองของพวกนาง เมื่อพวกเขาต่างพอใจกันระหว่างพวกเขา โดยชอบธรรม นั่นแหละคือ สิ่งที่จะถูกนำมาแนะนำตักเตือน แก่ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก นั่นแหละคือ สิ่งที่บริสุทธิ์กว่า และสะอาดกว่า สำหรับพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ แต่พวกเจ้าไม่รู้

[2.233] และมารดาทั้งหลายนั้น จะให้นมแก่ลูกๆ ของนางภายในสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการ จะให้ครบถ้วนในการให้นม และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้น คือปัจจัยยังชีพของพวกนางและเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง โดยชอบธรรม ไม่มีชีวิตใดจะถูกบังคับนอกจากเท่าทีชีวิตนั้น มีกำลังความสามารถเท่านั้น มารดาก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน (ให้แก่สามี) เนื่องด้วยลูกของนาง และพ่อเด็ก ก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน (ให้แก่ภรรยา) เนื่องด้วยลูกของเขา และหน้าที่ของทายาทผู้รับมรดกก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทั้งสองต้องการหย่านม อันเกิดจากความพอใจ และการปรึกษาหารือกันจากทั้งสองคน แล้วก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทั้งสอง และหากพวกเจ้าประสงค์ ที่จะให้มี แม่นมขึ้นแก่ลูกๆ ของพวกเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้มอบสิ่งที่พวกเจ้าให้ (แก่นางเป็นค่าตอบแทน) โดยชอบธรรม และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และถึงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

[2.234] และบรรดาผู้ที่ถึงแก่ชีวิตลงในหมู่พวกเจ้า และทิ้งคู่ครองไว้นั้น พวกนางจะต้องรอคอยตัวของพวกนางเอง สี่เดือนกับสิบวัน ครั้นเมื่อพวกนาง ครบกำหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกนางได้กระทำไปในส่วนตัวของพวกนาง โดยชอบธรรม และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียด ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

[2.235] และไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวเป็นในการขอหญิง และสิ่งที่พวกเจ้าเก็บงำ ไว้ในใจของพวกเจ้า อัลลอฮ์ทรงรู้ว่า พวกเจ้าจะบอกกล่าวแก่นางให้ทราบ แต่ทว่าพวก เจ้าอย่าได้สัญญาแก่นางเป็นการลับ นอกจากพวกเจ้าจะกล่าวถ้อยคำอันดีเท่านั้น และจงอย่าปลงใจ ซึ่งการทำพิธีแต่งงาน จนกว่าเวลาที่ถูกกำหนดไว้ จะบรรลุถึงความสิ้นสุดของมัน และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า พวกเจ้าจงสังวรณ์พระองค์ไว้เถิด และพึงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงหนักแน่น

[2.236] ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าหย่าหญิง โดยที่พวกเจ้ายังมิได้แตะต้องพวกนาง หรือยังมิได้กำหนดมะฮัรใดๆ แก่พวกนาง และจงให้นางได้รับสิ่งที่อำนวยประโยชน์ แก่พวกนาง โดยที่หน้าที่ของผู้มั่งมีนั้น คือตามกำลังความสามารถของเขา และหน้าที่ของผู้ยากจนนั้นคือตามกำลังความสามารถของเขา เป็นการให้ประโยชน์โดยชอบธรรม เป็นสิทธิเหนือผู้กระทำดีทั้งหลาย

[2.237] และถ้าหากพวกเจ้าหย่าพวกนาง ก่อนที่พวกเจ้าจะแตะต้องพวกนาง โดยที่พวกเจ้าได้กำหนดมะฮัรแก่นางแล้ว ก็จงให้แก่นางครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเจ้ากำหนดไว้ นอกจากว่าพวกนางจะยกให้ หรือผู้ที่ตกลงแต่งงานอยู่ในมือของเขา จะยกให้และการที่พวกเจ้าจะยกให้นั้น เป็นสิ่งที่ใกล้แก่ความยำเกรงมากกว่า และพวกเจ้าอย่าลืมการทำคุณในระหว่างพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นใน สิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

[2.240] และบรรดาผู้ที่ (จวนจะ) ตายจากพวกเจ้า และต้องทิ้งบรรดาคู่ครองไว้ (ในสภาพหญิงหม้าย) ก็ต้องสั่งเสียไว้ เพื่อบรรดาคู่ครองของพวกเขา ซึ่งสิ่งอำนวยสุขคือ (เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นค่าเลี้ยงดูแก่พวกนาง) ให้ครบหนึ่งปี โดยนางมิได้ออก (จากบ้านไปอื่น) แต่ถ้าพวกนางออก (จากบ้าน) โดยไม่มีความจำเป็น นางก็หมดสิทธิ์ที่จะได้รับค่าเลี้ยงดูดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่เป็นบาปแก่พวกเจ้า ในกรณีที่นางได้กระทำลงไปในเรื่องของตัวนางเอง จาก (การกระทำที่ประกอบไปด้วย) คุณธรรม (ตามบทบัญญัติทางศาสนา) และอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง

[2.243] เจ้าไม่รู้ดอกหรือ? ถึง (ประวัติของ) บรรดาผู้ที่ออกจากบ้านเมือง โดยมีจำนวนนับเป็นพันคน เพราะความกลัวตาย แต่แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงตรัสแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงตายเถิด ครั้นต่อมาพระองค์ก็ชุบชีวิตพวกเขา (ขึ้นมาใหม่) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงไว้ซึ้งความโปรดปรานแก่มวลมนุษย์ แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากหาได้ขอบคุณพระองค์ไม่

[2.246] เจ้าไม่รู้หรือ (ถึงประวัติของ) มวลชนหนึ่งจากพวกพงศ์เผ่าของอีสรออีล ภายหลังจากมูซา (ได้จากโลกนี้ไปแล้ว) เมื่อพวกเขาได้กล่าวกับศาสดาองค์หนึ่งของพวกเขา (ซึ่งมีชื่อว่าซำวีล (ว่า ท่านได้โปรดแต่งตั้งกษัตริย์แก่พวกเราสิ เราจะได้ออกต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ศาสดาจึงกล่าวกับพวกเขาว่าพวกท่านทั้งหลายคาดคิดไหมว่า หากพวกท่านได้ถูกบัญญัติให้ทำการรบแล้ว พวกท่านจะไม่ออกต่อสู้ พวกเขาตอบว่า และไม่มีเหตุผลใดๆสำหรับพวกเราเลย ที่จะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ทั้งๆที่พวกเราถูกคับไล่ออกมาจากบ้านเมืองของเรา และลูกๆของเรา ครั้นแล้วเมื่อการรบได้ถูกบัญญัติแก่พวกเขา พวกเขาก็หันหลังให้ ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเท่านั้นเอง (ที่ออกทำการรบ) และอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ยิ่งกับบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล

[2.247] และศาสดาแห่งพวกเขาก็ได้ประกาศแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงแต่งตั้ง ฏอลูตให้เป็นกษัตริย์ พวกเขาก็กล่าวว่า ไฉนเล่าจึงให้เขามาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงพวกเราทรงสิทธิ์ในตำแหน่งกษัตริย์ยิ่งกว่าเขาเสียอีกและเขา (ฏอลูต) นั่นก็ไม่มีทรัพย์อันมั่งคั่งแต่ประการใดๆ (แล้วจะมาเป็นกษัตริย์พวกเราได้อย่างไร) เขา (ศาสดาซำวีล) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงคัดเลือกตัวเขา (ฏอลูต) ให้เป็นกษัตริย์ของพวกเจ้า และพระองค์ทรงเพิ่มพูลความรู้ และ (พลังแห่ง) เรือนร่างอันกว้างขวางแก่เขา และอัลลอฮ์ทรงประทานอำนาจแห่งอาณาจักรของพระองค์แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์ทรงไพศาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

[2.248] และศาสดาของพวกเขาได้กล่าวกับพวกเขาว่า แท้จริงสัญลักษณ์ แสดงอำนาจทางอาณาจักรของเขาก็คือ จะมีหีบมายังพวกท่านซึ่งในนั้น มีความสงบมั่นจากองค์อภิบาลแห่งพวกท่าน และมีส่วนที่เหลืออยู่จากที่วงศ์วานแห่งมูซา และวงศ์วานแห่งฮารูนได้ทิ้งไว้ ซึ่งมาลาอีกะห์แบกมันมาเอง แท้จริงในนั้น ย่อมเป็นสัญลักษณ์แด่พวกเจ้าทั้งมวล ทั้งนี้หากพวกเจ้าเป็นผู้มีความศรัทธา

[2.249] ต่อมาเมื่อฏอลูตได้นำไพล่พลเคลื่อนออกไป (จากไบติลมักดิส) เขาก็ประกาศว่า แท้จริงอัลลอฮ์ จะทรงทดสอบพวกท่านทั้งหลาย ด้วยลำน้ำสายหนึ่ง ซึ่งผู้ใดดื่มจากมัน เขาก็หาใช่พวกของฉันไม่ แต่ผู้ใดไม่ดื่มมัน เขาก็เป็นพวกของฉัน ยกเว้นบุคคลที่ใช้มือของเขาวักน้ำเพียงครั้งเดียว ครั้นแล้วพวกเขาก็ดื่มจากมัน ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเหล่านั้น (ที่ไม่ยอมดื่ม) ต่อมา เมื่อเขาและบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอยู่พร้อมกับเขาเดินผ่านลำน้ำนั้น พวกเขาก็กล่าวว่า ในวันนี้เราต่อสู้กับญาลูฏ และไพร่พลของเขาไม่ไหวอย่างแน่นอน บรรดา (ศรัทธาชน) ที่มั่นใจว่าพวกเขาต้องได้พบกับอัลลอฮ์จึงกล่าวว่า มีตั้งเท่าไหร่แล้ว กลุ่มชนที่มีเพียงเล็กน้อย สามารถพิชิตกลุ่มชนที่มากกว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ ย่อมอยู่พร้อมกับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย

[2.251] ครั้นแล้วพวกเขาก็ปราบพวกนั้น (ได้สำเร็จ) โดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และดาวูดได้ฆ่าญาลูฏตาย และอัลลอฮ์ ได้ทรงประทานอำนาจทางอาณาจักรและวิทยญานแก่เขา และพระองค์ทรงสอนเขาบางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และมาดแม้นไม่เป็นเพราะอัลลอฮ์ทรงป้องกันมนุษย์ไว้แก่กันและกัน แล้วไซร้แน่นอนที่สุดแผ่นดินก็ย่อมซึ่งหายนะ และทว่าอัลลอฮ์ ทรงไว้ซึ่งความโปรดปราน แก่บรรดาชาวโลกทั้งปวง

[2.253] และบรรดาศาสนทูตเหล่านั้น เราได้ให้เกียรติแก่บางคนเหนือกว่าอีกบางคน บางคนจากพวกนั้น เป็นผู้ที่อัลเลาะฮ์ ได้ทรงตรัส (เขาคือนบีมูซา) และอัลเลาะฮ์ ได้ทรงยกย่องบางคนของพวกเขา หลายฐานันดร (คือนบีมุฮำมัด) และเราได้ประทานแก่อีซาบุตรมัรยัม ซึ่ง (บรรดา) หลักฐาน ที่ชัดแจ้ง และเราได้เสริมอำนาจแก่เขา ด้วยวิญญานแห่งความบริสุทธิ์ และมาตร์ว่าอัลเลาะฮ์ ทรงประสงค์ แน่นอนบรรดา (ประชาชาติ) ผู้อยู่ในยุคหลังพวกเขาก็ไม่ต้องรบพุ่งกัน ภายหลังจากบรรดา (หลักฐาน) ที่ชัดแจ้งได้มาสู่พวกเขาแล้ว และแต่ทว่าพวกเข้าได้พิพาทกัน ซึ่งมีบางคนของพวกเขา เป็นผู้ศรัทธา และบางคนของพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธ และมาต์รว่าอัลเลาะฮ์ ทรงประสงค์แล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็จะรบพุ่งกัน แต่ทว่าอัลเลาะฮ์ ทรงกระทำไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์

[2.255] อัลลอฮ์ (ทรงเป็นเจ้า) ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ (อีกแล้ว) นอกจากพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นเสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์ (แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์ นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ (จะให้พวกเขารู้) เท่านั้น เก้าอี้ (คืออำนาจปกครอง) ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่

[2.258] เจ้าไม่รู้หรือ เกี่ยวกับ (ประวัติของกษัตริย์นัมรูจ) ผู้โต้เถียงกับอิบรอฮีมในเรื่องผู้อภิบาลของเขา ซึ่งอัลลอฮ์ได้มอบอำนาจทางอนาจักร (บาบิโลน) แก่เขา เมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า พระผู้ทรงอภิบาลของฉัน ทรงประทานชีวิตและทรงประทานความตาย (แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์) เขา (นัมรูจ) กล่าวว่า ฉันเองก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้ อิบรอฮีมกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์สามารถนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออกได้ พลัน (นัมรูจ) ผู้เนรคุณก็งงงัน (ตอบไม่ถูก) และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล

[2.259] หรืออุปมาเล่นผู้ที่ผ่านมาเมืองหนึ่ง (คือบัยติลมักดิส เยรูซาลิม ซึ่งถูกทำลายโดย บุคตะนัซซอร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน เมื่อก่อนคริสต์กาลและผู้ที่เดินทางผ่านมาคือศาสดาองค์หนึ่งชื่ออะซีซบุตรของซัคคียาอ์) และมันพังยุบลงมาทั้งหลังคาของมัน เขากล่าวว่า เมื่อใดหนออัลลอฮ์ จึงจะฟื้นฟูเมืองนี้ขึ้นมาอีก หลังจากที่มันได้ตาย (พังทลาย) ไปแล้ว ครั้นแล้วอัลลอฮ์ ก็ทำให้เขาตายไปหนึ่งร้อยปี หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก (เมื่อฟื้นแล้ว) พระองค์ก็ตรัสว่า (ถามเขา) ว่า เจ้าพักอยู่นานเท่าใด เขาทูลตอบว่า ข้าพเจ้าพักอยู่หนึ่งวันหรือครึ่งวัน พระองค์ทรงตรัส (แก่เขา) ว่า ความจริงเจ้าพักอยู่ถึงหนึ่งร้อยปี เจ้าจงมองไปที่อาหารและเครื่องดื่มของเจ้าสิ มันยังไม่เน่าบูดเลย และเจ้าจงมองไปที่ลาของเจ้า (ที่ใช้ขี่มันมา) ซิ (ปรากฏว่าลาของเขา ตายจนกระดูกป่นไปแล้ว) และเพื่อเราจักบันดาลให้ (เรื่องราวเกี่ยวกับ) เจ้าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ และเจ้าจงมองไปที่กองกระดูก (ของลาตัวนั้น) ซิ ว่าเราทำการประกอบมัน (ให้เป็นโครงร่าง) ได้อย่างไรแล้วต่อมาเราก็หุ้มมันด้วยเนื้อ ครั้นเมื่อเหตุการณ์ได้ประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว เขาก็กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกๆสิ่ง

[2.260] และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลโปรดเนรมิตให้ข้าพเจ้าได้เห็นเถิดว่า พระองค์ทรงชุบชีวิตแก่ผู้ตายได้อย่างไร พระองค์ทรงดำรัสว่า เจ้าไม่เชื่อหรือ? เขากล่าวว่า มิใช่ แต่เพื่อจิตใจของข้าพเจ้าจะได้สงบมั่นยิ่งขึ้น พระองค์ทรงดำรัสว่า ดังนั้นเจ้าจงนำนกมาสี่ตัวแล้วเจ้าจงนำมันมารวมกับพวกเจ้า หลังจากนั้น เจ้าก็จงแยกส่วนของพวกมัน (ออกเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปไว้) บนภูเขาทุกลูก หลังจากนั้นเจ้าก็จงเรียกพวกมัน แน่นอนพวกมันก็จะมาหาเจ้าโดยพลัน และเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงปรีชายิ่ง

[2.264] โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าทำลายการทำทานของพวกเจ้า โดยการลำเลิก และยังความเจ็บปวด ประดุจผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์ของพวกเขาเพื่ออวดมนุษย์ และเขาไม่ศรัทธาในอัลลอฮ์ และวันสุดท้ายเลย แท้จริง อุปมา (คนอย่าง) เขา ก็อุปมัยดังก้อนหินเกลี้ยง ซึ่งมีดินติดอยู่บนมัน ต่อมามีฝนหนักได้กระหน่ำลงมาจนทิ้งมันไว้ในสภาพเกลี้ยงเกลา (ดินที่ติดอยู่แต่เดิมถูกฝนชะไม่มีเหลือ) พวกเขาไม่อาจ (ได้กุศลจากการทำทานนั้น) สักสิ่งเดียว จากที่พวกเขาได้พากเพียรไว้ และอัลลอฮ์ไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่เนรคุณ

[2.265] และข้อเปรียบเทียบของบรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขา เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยของอัลลอฮ์ และเพื่อเพิ่มความหนักแน่นแก่ตัวของพวกเขาเอง ก็เปรียบได้ดั่งสวนหนึ่งตั้งอยู่ ณ พื้นที่ราบสูงซึ่งมีฝนหนักกระหน่ำลงมา ต่อจากนั้นก็ให้ผลิตผลของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ถึงแม้นไม่มีฝนหนักกระหน่ำลงมาก็ตาม ก็ยังมีฝนอยู่ประปรายอยู่นั่นเอง และอัลลอฮ์ทรงมองเห็นการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล

[2.266] คนหนึ่งคนใดจากพวกเจ้าทั้งหลายชอบไหมเล่า ที่เขาจะมีสวนหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นอินผาลัม และต้นองุ่น โดยมีธารน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องใต้ของมัน เขาได้รับในสวนนั้นซึ่งผลไม้ต่างๆ และเขาก็ลุเข้าวัยชรา โดยเขายังมีลูกหลานที่อ่อนวัย ครั้นต่อมา ก็มีลมพายุโหมกระหน่ำสวนนั้น โดยมีไฟในนั้นแล้วมันก็เกิดเพลิงไหม้ (หมดทั้งสวน) เช่นนั้นแหละ อัลลอฮ์ทรงชี้แจงกับบรรดาโองการต่างๆเพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ใคร่ครวญ

[2.267] โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงบริจาคทรัพย์ที่ดีบางส่วน ที่พวกเจ้าได้พากเพียรไว้ และจากสิ่งที่เรา ได้ให้ผลิออกมาจากแผ่นดินพวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าได้มุ่งเอาสิ่งเลวจากนั้นมาบริจาคทั้งๆที่พวกเจ้าเองก็ไม่ (อยากจะ) รับสิ่งนั้น นอกจากพวกเจ้าจะสะเพร่าใน (การรับ) มัน และจงทราบไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรวยยิ่ง อีกทั้งทรงได้รับการสรรญเสริญ

[2.272] หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ ในการชี้นำพวกเขา และหากทว่าอัลลอฮ์ (ต่างหาก) ที่ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และความดีงาม (ทรัพย์สิน) ใดๆที่พวกเจ้าบริจาค มันย่อมเป็นของพวกตัวเจ้าอย่างแน่นอน และพวกเจ้าจะไม่บริจาค นอกจาก เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยจากอัลลอฮ์เท่านั้น และความดีใดที่พวกเจ้าบริจาคนั้น มันจะถูกตอบแทนครบถ้วนแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกฉ้อฉลอย่างแน่นอน

[2.273] เป็นสิทธิสำหรับผู้ถูกจำกัดตัวเองในทางของอัลลอฮ์ พวกเขา ไม่สามารถที่จะจารึกไปในแผ่นดิน ผู้โง่เขลาคิดว่า พวกเขาเป็นคนรวย (ทั้งๆที่พวกเขายากไร้ยิ่ง แต่) เนื่องด้วยความสังวรณ์ตน (พวกเขาไม่ยอมขอใครกิน) เจ้ารู้จักพวกเขาได้ด้วยเครื่องหมายแห่งพวกเขา คือพวกเขาจะไม่พิรี้พิไรขอจากมนุษย์ และการดีอันใด ที่พวกเจ้าบริจาคนั้น อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน

[2.275] บรรดาผู้กินดอกเบี้ย พวกเขาจะไม่ยืนขึ้น (ฟื้นขึ้นจากสุสานในวันชาติหน้าได้อย่าท่าทางปกติ) นอกจาก (พวกเขาจะยืนขึ้นมาในท่าที) ประดุจดังผู้ที่มารร้าย สิงอยู่เนื่องจากความวิกลจริต นั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า อันที่จริงการค้าขาย ก็เหมือนกับการดอกเบี้ยนั่นเอง และอัลลอฮ์ ทรงอนุมัติการค้าขาย แต่ทรงห้ามการดอกเบี้ย ดังนั้น ผู้ใดที่รับคำเตือนจากองค์อภิบาลของเขา แล้วเขาก็ยุติ (การรับดอกเบี้ย) แน่นอนสิ่ง (ดอกเบี้ย) ที่ล่วงเลยไปนั่นก็เป็นของเขา (ไม่ต้องย้อนหลัง) และการงานของเขาก็มอบแด่อัลลอฮ์ (สุดแต่พระองค์จะจัดการ) และผู้ใดย้อนกลับ (ไปสู้ธุระกิจดอกเบี้ยอีก) แน่นอนพวกเขาเป็นชาวนรก พวกเขาต้องเข้าอยู่ในนั้นนิรันดร

[2.282] โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าทำสัญญากู้หนี้ยืมสินกันในหนี้สินหนึ่ง โดยมีกำหนดที่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงทำบันทึกมันไว้ด้วย และจะต้องมีผู้บันทึกทำการบันทึกในระหว่างพวกเจ้า โดยความเที่ยงธรรม และผู้บันทึกจงอย่าปฏิเสธที่จะทำการบันทึก ดังที่อัลลอฮ์ได้สอนเขาไว้ ดังนั้น เขาจงบันทึกโดยให้ลูกหนี้เป็นผู้บอกให้ และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์ผู้ทรงอภิบาลเขา และจงอย่าบกพร่องจากนั้นสักเพียงเล็กน้อยก็ตาม (ในการบันทึกเต็มตามจำนวน ที่ตกลงกู้ยืมกัน) แต่หากปรากฏว่า ผู้เป็นลูกหนี้เป็นคนโฉดเขลา (มีนิสัยฟุ้มเฟ้อประพฤติตนไม่เหมาะสม) หรือเป็นคนอ่อนแอ หรือไม่สามารถที่จะบอก (จำนวนหนี้สินได้) ก็จงให้ผู้ปกครองเขาบอกแทนด้วยความเที่ยงธรรม และพวกเจ้าจงจัดตั้งพยานขึ้นสองคน (โดยเลือก) จากบุคคลที่พวกเจ้าพอใจ จากบรรดาผู้ (มีคุณสมบัติพร้อมที่จะ) เป็นพยานเพื่อวาหากนางหนึ่งจากทั้งสองหลงลืม (ข้อสัญญา) คนหนึ่งจะได้ช่วยเตือนความจำให้แก่อีกคนหนึ่งได้ และบรรดา (ผู้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็น) พยาน จงอย่าปฏิเสธ (ในการเป็นพยาน) เมื่อถูกขอร้องและเจ้าทั้งหลายจงอย่าระอาที่จะทำการบันทึกมันไม่ว่า (หนี้สินนั้น) จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย หรือจำนวนมาก็ตาม จนถึงกำหนดของมัน (การกู้หนี้ที่ทำสัญญาเอกสาร ตามที่กล่าวมา) นั้น ย่อมเป็นที่ยุตติธรรมยิ่ง ณ อัลลอฮ์ย่อมเป็นที่มั่นคงยิ่ง สำหรับการเป็นพยาน และเป็นที่ใกล้เคียงยิ่งต่อการที่พวกเจ้าจะได้ไม่สงสัยซึ่งกันและกัน (ในจำนวนหนี้สิน) ยกเว้น ในกรณีที่เป็นการค้าในปัจจุบัน ซึ่งพวกเจ้าหมุนเวียนระหว่างพวกเจ้าเอง ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใดๆ แก่พวกเจ้า ที่จะไม่บันทึกมัน และเจ้าทั้งหลายจงแต่งตั้งพยานขึ้นเถิด เมื่อพวกเจ้าทำสัญญา (ซื้อขายกัน) และทั้งผู้บันทึกและพยานนั้น จงอย่า (ใช้เล่ห์กลแห่งสัญญา) ทำความเดือนร้อน (แก่ฝ่ายเจ้าหนี้หรือฝ่ายลูกหนี้) และหากพวกเจ้าไม่กระทำ (ตามที่ได้บัญญัติไว้นี้) แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นก็จะเป็นความชั่วร้ายแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และอัลลอฮ์ทรงสอนพวกเจ้า และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุกๆสิ่ง

[2.283] และหากพวกเจ้าทั้งหลายอยู่ในระหว่างเดินทาง และพวกเจ้าไม่พบผู้บันทึกคนใดก็ให้ (กู้หนี้แบบ) มีสิ่งล้ำค่าประกันที่ถูกยึดกุมไว้ (โดยเจ้าหนี้) ดังนั้น หากต่างฝ่ายต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน (ทำการกู้ยืนโดยไม่มีสิ่งค้ำประกันและไม่มีสัญญาเอกสาร) อัน ลูกหนี้ผู้ได้รับความไว้วางใจก็ต้องชำระคืนแต่สิ่งที่ถูกไว้ใจ (คืนหนี้สินนั้น) เสีย (เมื่อครบกำหนด) และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์ ผู้ทรงอภิบาลเขา และพวกเจ้าอย่าปิดบังการเป็นพยาน และบุคคลใดปิดบังมัน แน่นอนหัวใจเขาย่อมเป็นบาป และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล

[2.284] เป็นสิทธิแห่งอัลลอฮ์ สรรพสิ่งในชั้นฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน และหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเจ้า หรือจะปิดบังมันไว้ก็ตาม อัลลอฮ์ก็จักทรงนำมันมาสอบสวนอย่างแน่นอน และพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง

[2.285] ศาสนทูต และมวลผู้ศรัทธา ย่อมศรัทธาในสิ่ง (คัมภีร์) ที่ถูกประทานมายังเขาจากองค์อภิบาลของเขาทุกคนต่างมีศรัทธามั่นในอัลลอฮ์ ในมาลาอีกะห์ของพระองค์ ในบรรดาคำภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราได้ยิน และเราภักดี ขอพระองค์ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิด โอ้องค์อภิบาลของเรา และเป้าหมาย (ของเรา) ย่อมคืนสู่พระองค์
